Display ads คือ
ในบทความนี้จะเป็นการนำเสนอ Display ads คือ อะไร เพราะปัจจุบันทางเลือกในการทำการตลาดเพื่อโฆษณาหรือโปรโมทสินค้า นั้นมีอยู่หลากหลายช่องทางมากๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การโฆษณาผ่านทางทีวี หรือการขึ้นป้ายโฆษณาตามสถานที่ต่างๆ อีกต่อไป แต่ยังสามารถทำการโฆษณาผ่านทางออนไลน์ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นทาง Google Facebook Instagram TikTok หรือ YouTube ซึ่งการทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ จะทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน รวมถึงธุรกิจยังสามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ และมีรูปแบบการโฆษณาที่หลากหลายมากกว่าการทำการตลาดแบบดั้งเดิม
โดยการทำโฆษณาแบบ Display ads ได้เข้ามาบทบาทสำคัญอย่างมากในการทำการตลาดออนไลน์ เนื่องจากจะเป็นรูปแบบการโฆษณาที่ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้า และช่วยให้การโฆษณาออนไลน์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้ธุรกิจเติบโตและมียอดขายที่เพิ่มมากขึ้น
Display ads คืออะไร ต้องรู้จักก่อนตัดสินใจทำนะ
Display ads หรือ Display advertising คือ การทำโฆษณาบนช่องทางออนไลน์ต่างๆ ในรูปแบบของรูปภาพ วิดีโอ ข้อความ หรือแบนเนอร์ เพื่อสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ ตามวัตถุประสงค์ทางการตลาด โดยเฉพาะการดึงดูดความสนใจของลูกค้า ให้คลิกหรือกดเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ หน้าเพจ Facebook หรือหน้า Sale page ตามที่ธุรกิจต้องการ ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากการทำ Display ads จะเป็นการทำโฆษณาแล้วนำไปแปะหรือแสดงตามบริเวณต่างๆ ของเว็บไซต์ และแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ลูกค้ากดเข้าไปดู โดยโฆษณาจะแสดงขึ้นมาตามความสนใจของลูกค้าแต่ละคน ทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจและอยากคลิกเข้าไปดูต่อ ซึ่งข้อดีของการทำโฆษณาที่เน้นรูปภาพหรือวิดีโอ จะช่วยทำให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพและรายละเอียดของสินค้าได้อย่างชัดเจน กว่าการอ่านตัวหนังสือหรือฟังเสียงเพียงอย่างเดียว
โดยคำว่า Display ads จะเป็นภาพรวมของการแสดงโฆษณาตามช่องทางต่างๆ แต่ช่องทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากเลยจะเป็นทาง Google ซึ่งเรียกว่าการทำ Google display ads คือ การแสดงโฆษณาในรูปแบบของแบนเนอร์รูปภาพหรือข้อความ ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของ Google ให้เหมาะสมกับหมวดหมู่และประเภทสินค้าของธุรกิจ เพื่อให้โฆษณาสามารถแสดงผลและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Display ads ที่ดีควรเป็นอย่างไร ถึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด
1.เลือกรูปแบบโฆษณาให้เหมาะกับประเภทของสินค้า
การเลือกรูปแบบโฆษณาว่าจะใช้เป็นรูปภาพ วิดีโอ หรือข้อความ จำเป็นจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับประเภทของสินค้า และสามารถนำเสนอจุดเด่นหรือคุณสมบัติที่สำคัญของสินค้าออกมาได้อย่างชัดเจนมากที่สุด เพื่อสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่าย เห็นภาพและรายละเอียดของสินค้าได้ดี ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยหากเป็นสินค้าทั่วไปที่ลูกค้ารู้จักดีอยู่แล้ว จะเหมาะกับการใช้โฆษณาแบบรูปภาพ แต่หากเป็นสินค้าที่มีราคาสูง และต้องการนำเสนอจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง การทำโฆษณาในรูปแบบของวิดีโอก็จะตอบโจทย์มากกว่า เป็นต้น
2.เลือกช่องทางให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
ช่องทางในการแสดงผลโฆษณา ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากเลยในการทำการตลาดออนไลน์ โดยธุรกิจควรเลือกช่องทางหรือแพลตฟอร์มที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจอยู่ เพื่อจะได้สามารถลงโฆษณาได้อย่างถูกช่องทาง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาบนช่องทางที่ไม่จำเป็น แถมยังช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสาร เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
3.หาตำแหน่งที่ดีที่สุด ในการแสดงผลโฆษณา
เมื่อเลือกช่องทางที่ต้องการลงโฆษณาได้แล้ว สิ่งต่อมาที่ควรพิจารณาและวางแผนให้ดี ก็คือ ตำแหน่งในการแสดงผลโฆษณาบนช่องทางต่างๆ ว่าจะให้โฆษณาแสดงอยู่บริเวณแบนเนอร์ของเว็บไซต์ ด้านข้าง หรือในหน้าฟีดของเฟสบุ๊ค ซึ่งตำแหน่งแต่ละที่ก็จะส่งผลให้ลูกค้ามองเห็นโฆษณาแตกต่างกัน รวมถึงในแต่ละตำแหน่งก็ยังมีค่าโฆษณาที่ไม่เท่ากันอีกด้วย ดังนั้นธุรกิจจะต้องมีการสำรวจข้อมูลของลูกค้าและวางแผนให้ดี เพื่อให้ได้ตำแหน่งที่เหมาะสมและประหยัดต้นทุนค่าโฆษณามากที่สุด
4.มีคำอธิบายสินค้าที่น่าสนใจ
นอกจากการมีรูปภาพ หรือวิดีโอที่น่าสนใจแล้ว ยังจำเป็นต้องมีคำอธิบายหรือมีการเขียน Copy writing ที่ดีและน่าสนใจอีกด้วย เพื่อเป็นการนำเสนอข้อมูลของสินค้าเพิ่มเติม เพื่อดึงดูดและประกอบการตัดสินใจซื้อของลูกค้า โดยคำอธิบายควรจะสั้นกระชับ และได้ใจความครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถอ่านและเข้าใจสิ่งที่ธุรกิจต้องการสื่อสารได้ง่ายยิ่งขึ้น
5.กระตุ้นลูกค้าด้วยปุ่ม Call to action
การมีปุ่ม Call to action เช่น ไปยังหน้าเว็บ สั่งซื้อ สอบถามเพิ่มเติม ลงทะเบียน หรือขอใบเสนอราคา ฯลฯ จะเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากระทำบางอย่าง ตามวัตถุประสงค์ของธุรกิจได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น เนื่องจากลูกค้าจะถูกโน้มน้าวจากสื่อโฆษณาที่แสดงผลอยู่ตามช่องทางต่างๆ ไปแล้ว เมื่อมีปุ่ม Call to action ก็จะเหมือนเป็นการจุดชนวนให้ลูกค้าตัดสินใจกระทำบางอย่างได้เร็วขึ้น
Packhai ไม่ใช่แค่ Fulfillment เรายังเป็นที่ปรึกษาให้ด้วย
การที่ธุรกิจจะสามารถเติบโตและมีกำไรได้อย่างยั่งยืนนั้น นอกจากการทำการตลาดหรือโฆษณาโปรโมทสินค้าแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญและใส่ใจในเรื่องของการจัดการออเดอร์ การขาย การจัดการคลังสินค้า ไปจนถึงการพัฒนาและปรับปรุงสินค้าด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นงานที่ต้องใช้เวลาและงบประมาณไม่น้อยเลย แต่หากเลือกใช้บริการคลังเก็บสินค้าออนไลน์ระบบ Fulfillment จาก Pakhai ธุรกิจจะไม่ต้องกังวลและเสียเวลาไปกับงานด้านการจัดเก็บ แพ็ค และส่งสินค้าอีกต่อไป เพราะ Packhai จะดูแลงานในส่วนนี้ให้ทั้งหมดอย่างมืออาชีพ พร้อมทั้งมีบริการให้คำปรึกษาในการทำการตลาด และการพัฒนาต่อยอดให้กับธุรกิจอีกด้วย เรียกได้ว่าครบจบในที่เดียวจริงๆ ตอบโจทย์พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี