การตั้งราคาขายส่ง
ใน การตั้งราคาขายส่ง สินค้า เพื่อขายสินค้าในจำนวนครั้งละมากๆ อาจขายยกโหล ยกกล่องหรือขายยกแพ็ค เหมาะสำหรับผู้ค้าหรือตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากการขายสินค้าเป็นรายชิ้นให้กับลูกค้าทั่วๆ ไป พ่อค้าแม่ค้าหรือธุรกิจรายใหญ่จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการตั้งราคาสินค้าสำหรับขายส่ง การตั้งราคาสินค้านั้น ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการขายสินค้าหรือบริการที่ผู้ประกอบการควรพิจารณาให้ดี ควรตั้งราคาขายสินค้าให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้ตัวเองขาดทุนและทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้าถึงสินค้านั้นและได้รับความพึงพอใจมากที่สุด วันนี้เราก็มีวิธีการตั้งราคาขายส่งสินค้ามาแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางให้กับทุกคนได้นำไปใช้
วิธีการตั้งราคาขายส่งสินค้า
1.คำนวณราคาขายส่งที่เหมาะสม
การคำนวณราคาขายส่งที่เหมาะสม มีสูตรการคำนวณง่ายๆ สามารถคำนวณได้ ดังนี้
ราคาขายส่ง = ค่าวัสดุ + (แรงงานที่ลงทุน x ค่าใช้จ่ายเท่าไร) + ค่าโสหุ้ยอื่น ๆ (ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ฯลฯ ) + กำไร
หรืออาจคิดราคาขายส่งได้ด้วยสูตรง่ายๆ ที่หลายๆ ธุรกิจนิยมใช้ นั่นคือ
ราคาปลีก x 0.6 = ราคาขายส่ง (ลด 40% จากร้านค้าปลีก)
2.ตั้งราคาขายจากคุณค่าของสินค้า
สูตรดังกล่าวในข้างต้น บางครั้งก็อาจทำให้ธุรกิจต้องเสียกำไรที่ควรจะได้รับ เนื่องจากลูกค้าอาจไม่ต้องการของถูกที่สุดเพียงอย่างเดียว บางครั้งลูกค้าอาจกำลังมองหาสินค้าที่มีคุณภาพดีหรือสินค้าที่แตกต่างจากสินค้าอื่นๆ ดังนั้น ทางที่ดีควรพิจารณาการตั้งราคาขายส่งจากคุณค่าของสินค้าเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญด้วย
3.วิเคราะห์ตำแหน่งของสินค้าเทียบกับคู่แข่ง
สินค้าประเภทเดียวกัน แต่อาจมีกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เหมือนกันทำให้มีตำแหน่งสินค้าต่างกัน โดยตำแหน่งที่แตกต่างกันนี้ อาจทำให้ราคาสินค้าประเภทเดียวกันมีความแตกต่างกันออกไปด้วย ดังนั้น การวิเคราะห์ตำแหน่งของสินค้า โดยเทียบกับตำแหน่งของคู่แข่งคนอื่นๆ ช่วยให้สามารถตั้งราคาสินค้าให้สูงขึ้นและได้กำไรจากราคาขายส่งที่มากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
4.ตรวจสอบราคาขายปลีกของสินค้าในตลาด
สามารถใช้วิธีการตรวจสอบราคาขายปลีกของสินค้า ที่ขายอยู่ในตลาด หากสินค้าที่ขายปลีกมีราคาสูงกว่าราคาต้นทุน 2 เท่าก็ต้องกลับมาหาวิธีการลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นของสินค้าขายส่ง เพื่อให้อัตราราคาสินค้าสูงกว่าราคาต้นทุนอย่างน้อย 4-6 เท่า เพื่อจะได้มีกำไรมากขึ้นจากการขายสินค้าในราคาขายส่งนั่นเอง
5.พูดคุยกับลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้า
คุณอาจพูดคุยกับลูกค้าที่สนใจสินค้าหรือต้องการซื้อสินค้าของคุณว่าพวกเขาต้องการสินค้าประเภทไหน การทราบความต้องการของลูกค้า ทำให้มีโอกาสขยายตลาดได้มากขึ้น และอาจเลือกสินค้าเกรดดี มีคุณภาพ ตามที่ลูกค้าต้องการมานำเสนอ สินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น จะทำให้สามารถตั้งราคาขายส่งที่สูงขึ้นตามไปด้วย และมีโอกาสที่จะได้กำไรมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
6.ลดราคาแต่ต้องมีกำไร
แม้ว่าราคาขายส่ง ส่วนใหญ่แล้วจะต้องมีส่วนลดให้กับลูกค้า เพื่อดึงดูดและเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ใช้ในการแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ขายสินค้าในราคาขายส่ง ก็ต้องคำนึงอยู่เสมอว่ากำไรของธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สินค้าราคาขายส่งที่ มีการลดราคาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะลดเท่าไหร่ แต่กำไรก็ต้องยังคงเหลือกำไร หรือไม่ขาดทุนนั่นเอง
7.คำนวณการลดราคาที่เหมาะสม
สืบเนื่องมาจากข้อที่แล้ว ก็คือการลดราคาสินค้าขายส่งแต่ยังคงมีกำไรเหมือนเดิม การคำนวณการลดราคาอย่างเหมาะสม ให้จำไว้เสมอว่า ราคาขายปลีกของสินค้าจะต้องมีราคาอยู่ที่ 4-6 เท่าของราคาต้นทุน ดังนั้น ไม่ควรลดราคาสินค้าให้กับลูกค้าเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของราคาขายปลีก เพราะอาจทำให้คุณขาดทุนหรือไม่คุ้มทุนได้
ทั้งหมดนี้ก็คือ 7 วิธีการตั้งราคาขายส่ง สำหรับผู้ค้าหรือตัวแทนจำหน่าย โดย ทั้ง 7 วิธีที่เราได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น หวังว่าพอจะเป็นแนวทางให้กับใครหลายๆ คนได้เป็นอย่างดี ช่วยให้สามารถตั้งราคาขายส่งสินค้าในปริมาณมากได้อย่างเหมาะสมและไม่ขาดทุนด้วย โดยเฉพาะธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ ในยุคนี้สมัยนี้ ก็นิยมนำสินค้าจากจีนมาจำหน่ายในราคาขายส่ง ให้กับร้านค้าปลีกรายย่อยหรือบุคคลธรรมดาทั่วไป ที่ต้องการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก การตั้งราคาขายส่งนั้น แน่นอนว่าย่อมมีราคาที่ถูกกว่าการขายปลีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่างที่บอกว่า ธุรกิจควรตั้งราคาขายส่งที่เหมาะสม ไม่ว่าราคาจะถูกมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรขาดทุน การตั้งราคาขายสินค้าไม่ว่าจะขายส่งหรือขายปลีกเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่ธุรกิจต้องให้ความสนใจ แล้วต้องคิดให้ดีเป็นพิเศษ เพื่อจะได้มีกำไรและไม่ขาดทุน